tag:blogger.com,1999:blog-2375028327425493652024-03-14T09:11:59.231+07:00krusuphanสุณิสา เกียวกุลhttp://www.blogger.com/profile/16999589274401913479noreply@blogger.comBlogger3125tag:blogger.com,1999:blog-237502832742549365.post-78715730602171758182010-06-06T15:12:00.005+07:002010-06-06T23:08:15.545+07:00เผยแพร่ผลงาน ครูสุรีย์ สุคนธ์วารี ร.ร.วัดสวนแตง สพท.สพ.เขต 1<div align="left">ชื่อเรื่อง รายงานการใช้สื่อวีดิทัศน์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ (นาฏศิลป์) เรื่องรำวงมาตรฐาน และความพึงพอใจในการเรียนสำหรับนักเรียน</div><div align="left">ชั้นประถมศึกษาปีที่ <span style="font-size:78%;">6</span> โรงเรียนวัดสวนแตง<br /><br />ชื่อผู้ศึกษา นางสุรีย์ สุคนธ์วารี<br />ปี พ.ศ. <span style="font-family:times new roman;font-size:78%;">2552<br /></span></div><div align="left"></div><div align="left"> </div><div align="center">บทคัดย่อ<br /></div><div align="left"> การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของสื่อวีดิทัศน์ ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เพื่อศึกษาพฤติกรรมของนักเรียนขณะใช้สื่อวีดิทัศน์ และ เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อสื่อวีดิทัศน์กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ(นาฏศิลป์)เรื่องรำวงมาตรฐาน กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่<span style="font-size:78%;"><span style="font-family:times new roman;"> </span><span style="font-family:times new roman;">6</span> </span>ภาคเรียนที่ <span style="font-size:78%;">1 </span>ปีการศึกษา <span style="font-size:78%;"><span style="font-family:times new roman;">2552</span> </span>โรงเรียนวัดสวนแตง อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุพรรณบุรี เขต <span style="font-size:78%;">1 </span>จำนวน <span style="font-size:78%;"><span style="font-family:times new roman;">31</span> </span>คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบเจาะจง ระยะเวลาในการศึกษา ตั้งแต่วันที่ <span style="font-family:times new roman;font-size:78%;">18 </span>พฤษภาคม <span style="font-family:times new roman;font-size:78%;">2552 – 31</span> สิงหาคม <span style="font-size:78%;"><span style="font-family:verdana;">2552</span> </span>จำนวน <span style="font-family:verdana;font-size:78%;">15 </span>ชั่วโมง เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ สื่อวีดิทัศน์ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ (นาฏศิลป์) แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนจากสื่อวีดิทัศน์ และแบบประเมินความพึงพอใจในการเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ร้อยละ และสถิติ <span style="font-size:78%;">t – test</span> แบบ <span style="font-size:78%;">Dependent Samples<br /></span>ผลการศึกษาพบว่า<br /><span style="font-family:times new roman;font-size:78%;">1.</span> ประสิทธิภาพของสื่อวีดิทัศน์กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ (นาฏศิลป์) เรื่องรำวงมาตรฐาน ชั้นประถมศึกษาปีที่ <span style="font-size:78%;">6 </span>มีประสิทธิภาพเท่ากับ <span style="font-family:times new roman;font-size:78%;">88.99/87.31</span> ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้<br /><span style="font-family:times new roman;font-size:78%;">2.</span> ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยสื่อวีดิทัศน์กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ (นาฏศิลป์) เรื่องรำวงมาตรฐาน หลังสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ <span style="font-size:85%;"><span style="font-family:times new roman;font-size:78%;">0.01<br /></span><span style="font-family:times new roman;"><span style="font-size:78%;">3</span>.</span></span> นักเรียนแสดงพฤติกรรมระหว่างใช้สื่อวีดิทัศน์กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ (นาฏศิลป์) เรื่องรำวงมาตรฐานทุกบทเรียน มีพฤติกรรมเฉลี่ยร้อยละ <span style="font-size:78%;"><span style="font-family:times new roman;">80</span> </span>ขึ้นไป<br /><span style="font-family:times new roman;font-size:78%;">4.</span> นักเรียนมีความพึงพอใจต่อสื่อวีดิทัศน์นาฏศิลป์ เรื่องรำวงมาตรฐาน กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ (นาฏศิลป์) ชั้นประถมศึกษาปีที่ <span style="font-family:times new roman;font-size:78%;">6 </span>โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด เท่ากับ <span style="font-family:times new roman;font-size:78%;">4.53</span></div>สุณิสา เกียวกุลhttp://www.blogger.com/profile/16999589274401913479noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-237502832742549365.post-75427374813993076772010-06-06T14:49:00.020+07:002010-06-06T23:43:48.932+07:00เผยแพร่ผลงานทางวิชาการ คุณครูชรินทร์ สุคนธ์วารี ร.ร.วัดสวนแตง สพท.สพ.เขต 1<span style="font-size:78%;"><span style="font-family:arial;"><strong><span style="color:#006600;">ชื่อเรื่อง</span></strong><br /></span></span><span style="font-family:arial;font-size:78%;">รายงานผลการใช้แบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาการหาร สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/1 โรงเรียนวัดสวนแตง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุพรรณบุรี เขต 1<br /><span style="color:#006600;"><strong></strong></span><br /><span style="color:#006600;"><strong>ผู้รายงาน</strong></span> นายชรินทร์ สุคนธ์วารี<br /></span><div align="center"><br /><strong><span style="font-family:arial;font-size:78%;color:#006600;">บทคัดย่อ </span></strong></div><strong><span style="color:#006600;"><div align="left"><br /><span style="font-family:arial;font-size:78%;"></span></span></strong></div><div align="justify"><span style="font-family:arial;font-size:78%;">รายงานผลการใช้แบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาการหาร สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3โดยมีจุดมุ่งหมายดังนี้ 1)เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาการหาร สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ การแก้โจทย์ปัญหาการหาร สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/1 โรงเรียนวัดสวนแตง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุพรรณบุรี เขต1 ภาคเรียนที่1 ปีการศึกษา2552 3)เพื่อศึกษา ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาการหาร สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา มี 4 ประเภท ดังนี้ 1)แบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาการหาร สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 3 ชุด 2)แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง การแก้โจทย์ปัญหาการหาร ซึ่งเป็นแบบปรนัย จำนวน 1 ฉบับ มี 30 ข้อ 3) แบบประเมินแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาการหาร สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 สำหรับผู้เชี่ยวชาญเพื่อพิจารณาเกี่ยวกับองค์ประกอบของแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหา ใช้ตัวแปรเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ คือ ดีมาก ดี ปานกลาง พอใช้ และ ควรแก้ไข 4)แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อชุดฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาการหาร สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 เป็นแบบมาตราส่วน ประมาณค่า (Likert’s – Scale) 3 ระดับ จำนวน 12 ข้อ ลักษณะของแบบประเมิน เป็นแบบ Likert’s – Scale ให้คะแนน 1 – 3 คะแนน<br /><strong>ผลการศึกษาพบว่า</strong> </span></div><div align="justify"><span style="font-family:arial;font-size:78%;">1. การสร้างและหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาการหาร สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้ </span></div><div align="left"><span style="font-family:arial;font-size:78%;">1.1 ผลการสร้างแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาการหาร จำนวน 3 ชุด พบว่า ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 ท่าน ให้ความคิดเห็นว่า แบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาการหาร ชุดที่ 1 ชุดที่ 2 และชุดที่ 3 มีความเหมาะสมดีมาก 4.46<br /></span><span style="font-family:arial;font-size:78%;">1.2 ผลการหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาการหาร ทั้ง 3 ชุด มีประสิทธิภาพเท่ากับ 81.730/80.78 สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ตั้งไว้ 80/88<br />2. การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยชุดฝึกทักษะ การแก้โจทย์ปัญหาการหารสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนมีค่าเฉลี่ยก่อนเรียน 14.67 หลังเรียน 23.67 มีค่าเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05<br />3. ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหา การหารสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก 2.79</span></div>สุณิสา เกียวกุลhttp://www.blogger.com/profile/16999589274401913479noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-237502832742549365.post-80510477471084232292008-01-10T05:53:00.000+07:002008-01-13T11:43:23.038+07:00การจัดการนวัตกรรมและสารสนเทศ<span style="font-size:130%;color:#000000;"><span style="font-size:85%;">ในปัจจุบันการจัดการนวัตกรรมและสารสนเทศนั้นมีความสำคัญและมีความจำเป็นเป็นอย่างมาก ทั้งนี้เนื่องมาจากในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหลายอย่างทั้งทางสภาพสังคม ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ความต้องการในการเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผล อีกทั้งนโยบายภาครัฐและการแข่งขันกับอารยประเทศซึ่งมีสูง โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของสังคมเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการต่าง ๆ ซึงในปัจจุบันท่านจะเห็นได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทำให้ความรู้นั้นล้าสมัยอย่างรวดเร็ว การเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ต้องใช้เวลาในการเรียนสั้นลง อีกทั้งมีการแข่งขันทางเทคโนโลยีในรูปแบบใหม่ ๆ ทุกวัน ดังนั้นจึงต้องมีการแนะนำเทคนิคเครื่องมือใหม่ ๆ ในองค์กร และการต้องการเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของงานนั้น จำเป็นต้องมีการปฏิบัติงานที่รวดเร็ว ลดความซ้ำซ้อน ง่ายต่อการปฏิบัติ และผลงานที่ได้ต้องมีความถูกต้องเป็นปัจจุบัน เพื่อให้ผลงานออกมาอย่างดีที่สุดเพื่อแข่งขันกับอารยะประเทศได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นนวัตกรรมและสารสนเทศจึงได้เริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรามากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุดังกล่าวเราจึงควรที่จะศึกษาเกี่ยวกับการจัดการนวัตกรรมและสารสนเทศ โดยในบทความนี้ขอเสนอหัวข้อหลัก ๆ เกี่ยวกับนวัตกรรมและสารสนเทศ ดังนี้</span></span><br /><br /><strong><span style="font-size:85%;"></span></strong><br /><strong><span style="font-size:85%;color:#993399;"><a href="http://school.obec.go.th/chumroon/A1-A6/A1.doc">บทที่ 1 ความหมายและความสำคัญของนวัตกรรมและสารสนเทศ </a></span></strong><br /><br /><a href="http://school.obec.go.th/chumroon/A1-A6/A2.doc"><strong><span style="font-size:85%;">บทที่ 2 บทบาทของสารสนเทศในการบริหารองค์กรทางการศึกษา</span></strong> </a><br /><br /><strong><span style="font-size:85%;"><a href="http://school.obec.go.th/chumroon/A1-A6/A3.doc">บทที่ 3 นวัตกรรมทางการศึกษาและการบริหารการศึกษา</a></span></strong><br /><br /><strong><span style="font-size:85%;"><a href="http://school.obec.go.th/chumroon/A1-A6/A4.doc">บทที่ 4 การสื่อสารและระบบเครือข่าย</a></span></strong><br /><br /><strong><span style="font-size:85%;"><a href="http://school.obec.go.th/chumroon/A1-A6/A5.doc">บทที่ 5 นวัตกรรมกับการพัฒนาระบบสารสนเทศ</a></span></strong><br /><br /><a href="http://school.obec.go.th/chumroon/A1-A6/A6.doc"><strong><span style="font-size:85%;">บทที่ 6 การบริหารระบบสารสนเทศในองค์กร</span></strong> </a><br /><p align="center"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgJ670yPuiX15uWm_G9HhDZTwFaSv1gWuNNWcP1wEyWrXZFseq_LBXQ-_pSTUXNCuynIpiraukz8HRGsQ1LtGaYPGCO5KkArx6OaMuflaf9_voXVu9c8qprq74EfC6oaBRlxJ4BIs3oQuM/s1600-h/gman22.gif"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5153860564349900658" style="CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgJ670yPuiX15uWm_G9HhDZTwFaSv1gWuNNWcP1wEyWrXZFseq_LBXQ-_pSTUXNCuynIpiraukz8HRGsQ1LtGaYPGCO5KkArx6OaMuflaf9_voXVu9c8qprq74EfC6oaBRlxJ4BIs3oQuM/s320/gman22.gif" border="0" /></a></p><br /><br /><br /><p><strong><span style="font-size:85%;"></span></p></strong><br /><br /><br /><p align="center"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg0wuNK2RpGtFMGLzLUCjx_MFh6Q25aRol2QYSIQpn9xtwT3oSy1ffwAtGs9i38d-Yk1dJw_IZSruVejJoZncyTXQje71SAkDcXy4ebtRXRKUYrdtf99nvGEHBwEyqApfoede9p_1p2wXk/s1600-h/26612_83621.gif"></a></p>สุณิสา เกียวกุลhttp://www.blogger.com/profile/16999589274401913479noreply@blogger.com0